วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

นิทานสอนใจ พญาหงส์ติดบ่วง ตอน2


เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควร เหล่าหงส์อิ่มแล้วกำลังเล่นเพลินกันอยู่ พญาหงส์ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงดังว่า "ติดบ่วง" พอได้ยินดังนั้น หงส์บริวารทั้งหลายก็ตกใจ บินหนีกลับไปยังภูเขาจิตตกูฏ

ด้านหงส์สุมุข ทีแรกก็บินไปกับบริวารเหมือนกัน แต่เมื่อบินไปสักครู่หนึ่งก็เกิดเฉลียวใจว่าพญาหงส์อาจติดบ่วงก็ได้ จึงมองหาพญาหงส์ เมื่อไม่เห็น ก็คิดว่าอันตรายคงเกิดขึ้นแก่พญาหงส์เป็นแน่แล้ว หงส์สุมุขจึงรีบบินกลับมาที่สระบัว เมื่อเห็นพญาหงส์ติดบ่วงอยู่ก็ปลอบใจว่า อย่ากลัวเลย ตนเองจะสละชีวิตแทน

ด้านพญาหงส์กล่าวว่า "ฝูงหงส์บินหนีไปหมดแล้ว ขอท่านจงเองตัวรอดเถิด ไม่มีประโยชน์อะไรในการอยู่ที่นี่ เมื่อข้าพเจ้าติดบ่วงอยู่เช่นนี้ ความเป็นสหายจะมีประโยชน์อะไรเล่า

"หงส์สุมุขกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะอยู่จะไปก็ต้องตายอยู่ดี จะหนีความตายหาได้ไม่ เมื่อท่านมีสุข ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ เมื่อท่านมีทุกข์ ข้าพเจ้าจะจากไปเสียได้อย่างไร การตายพร้อมกับท่านประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีท่าน เมื่อท่านมีทุกข์อยู่เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปเสีย ดูไม่เป็นธรรมเลย

พญาหงส์กล่าวว่า "คติของผู้ติดบ่วงเช่นข้าพเจ้าจะมีอะไรนอกจากต้องเข้าโรงครัว ท่านเป็นผู้มีความคิดเห็นประโยชน์อะไรในการยอมตายกับข้าพเจ้า ท่านมายอมสละชีวิตในเรื่องที่มิได้เห็นคุณอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนคนตาบอดทำกิจการในที่มืดจะให้สำเร็จประโยชน์อย่างไร

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

นิทานสอนใจ พญาหงส์ติดบ่วง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหงส์ฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในถ้ำใหญ่ ณ ภูเขาจิตตกูฏ หัวหน้าฝูงหรือพญาหงส์ชื่อ "ธตรฐ" มีหงส์ที่สนิทชื่อ "สุมุข" เป็นกัลยาณมิตร อยู่มาวันหนึ่ง นกหงส์ 2 - 3 ตัวในฝูงบินไปหากินที่สระบัวหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยเป็นสระบัวที่กว้างใหญ่สวยงาม และเป็นที่อาศัยหากินของนกเป็นจำนวนมาก เมื่อพบเแหล่งอาหารขนาดใหญ่ ก็ทำให้นกหงส์รู้สึกพอใจ จึงกลับมาเล่าให้พญาหงส์ฟังว่า พวกเขาอยากกลับไปหากินที่สระนั้นอีก พญาหงส์ห้ามว่า สระนั้นเป็นถิ่นมนุษย์มีอันตรายมากสำหรับนก ไม่ควรไป แต่บริวารก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า พญาหงส์จึงอนุโลม และบอกว่าจะตามไปด้วย คราวนั้นจึงมีหงส์บริวารตามไปเป็นจำนวนมาก
พอพญาหงส์ร่อนลงเท่านั้น พญาหงส์ก็ติดบ่วง บ่วงของพรานรัดเท้าไว้แน่น พญาหงส์ดึงเท้าอย่างแรงด้วยคิดว่าจะทำให้บ่วงขาด ปรากฏว่าครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่สองเนื้อขาด พอถึงครั้งที่สาม เอ็นขาด ถึงครั้งที่สี่ บ่วงกินลึกลงไปถึงกระดูก เลือดไหลมาก เจ็บปวดแสนสาหัส
พญาหงส์คิดว่า ถ้าหากตนร้องขึ้นว่าติดบ่วง บริวารซึ่งกำลังกินอาหารเพลินอยู่ก็จะตกใจกินอาหารไม่ทันอิ่ม เมื่อบินกลับก็จะไม่มีกำลังพอ จะตกทะเลตาย จึงเฉยอยู่ รอให้บริวารกินอาหารจนอิ่ม ตนเองยอมทนทุกข์ทรมานด้วยบ่วงนั้น


วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

นิทานคติสอนใจ ยักษ์ปีนต้นไม้ ตอน2


ยักษ์ปีนต้นไม้ ตอน2
จากนั้นชายตัดฟืนได้ไปปรึกษาท่านผู้รู้ประจำหมู่บ้าน หลังจากฟังคำแนะนำชายตัดฟืนได้กลับถึงบ้าน เจ้ายักษ์เสร็จงานผ่าฟืนพอดี "นาย ๆ ผมผ่าฟืนเสร็จแล้วมีอะไรให้ผมทำอีก" น้ำเสียงของเจ้ายักษ์ส่อเลศนัยว่ามันจะได้กินชายตัดฟืนเป็นอาหารแน่ ๆ ชายตัดฟืนเริ่มทำตามแผนทันที เขาสั่งให้ยักษ์พาตนไปยังต้นไม้สูงกลางป่า ณ ต้นไม้นั้นเขาสั่งให้เจ้ายักษ์ให้ลิดกิ่ง ลิดใบออกจนหมด ต้นไม้สูงต้นนี้จึงดูเหมือนเสาโล้น ๆ ต้นหนึ่ง
นับจากนี้ไป" ชายตัดฟืนกล่าว "เมื่อใดที่เจ้ายืนอยู่ที่โคนต้นงานของเจ้าคือให้ปีนขึ้นไปจนสุดปลายยอดไม้" เขาเว้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ "และเมื่อใดที่เจ้าอยู่ปลายยอดไม้ งานของเจ้าคือให้ปีนลงมายังโคนต้นไม้" คำสั่งสองคำนี้ทำให้เจ้ายักษ์ทำงานเป็นวงจรอันไม่รู้จบ ผลก็คือเมื่อใดที่ชายตัดฟืนมีงานให้ทำ เขาก็เรียกเจ้ายักษ์มาใช้ ครั้นเมื่องานเสร็จสิ้นลงเขาก็ใช้ให้เจ้ายักษ์ไปปีนต้นไม้…..
ยักษ์วิเศษตนนี้ก็คือความคิดของมนุษย์นั่นเอง ใช่หรือไม่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความสามารถสูง เป็นสิ่งที่เร็วยิ่ง มนุษย์มีเทคโนโลยีอันทันสมัย เดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้ ก็เพราะความคิดนี่เอง แต่..บ่อยครั้งที่เราพบว่าเพราะความคิดนี่แหละ กลับมาเล่นงานมนุษย์เสียเอง บางคนคิดมากจนบั่นทอนสุขภาพ บ้างถึงกับจบชีวิตตนเองลงด้วยซ้ำ ก็เพราะเจ้าความคิดนี่เอง ต้นไม้ในนิทานก็คือลมหายใจในตัวเรานั่นเอง ซึ่งจะเดินทางขึ้นลง จากปอดขึ้นสู่จมูกจากจมูกลงสู่ปอดเท่านั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักที่จะใช้ความคิดของตนเองให้เกิดประโยชน์ ครั้นเมื่อว่างจากการคิด ก็ควรหมั่นฝึกนำจิตของตนมารู้อยู่กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ ก็จะยังชีวิตที่เป็นประโยชน์และเป็นสุข.
จาก: นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 289/2546

นิทานคติสอนใจ ยักษ์ปีนต้นไม้


ยักษ์ปีนต้นไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดฟืนอาศัยอยู่ในป่า ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนกระทั่งวันหนึ่ง ปรากฏร่างเทวดาตรงหน้าชายตัดฟืนคนนั้น "เราจะมอบของล้ำค่า เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนที่เจ้าเป็นคนดี มันคือยักษ์วิเศษ

"เทวดากล่าวและบรรยายสรรพคุณต่อ "เจ้ายักษ์ตนนี้มีความสามารถสูง มันเกิดมาเพื่อทำงาน มันสามารถทำงานให้เจ้าได้ทุกอย่าง และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญมันทำงานได้เร็วมากเลย"

"แต่.." เทวดาเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ "เจ้าต้องระวังหากไม่สามารถหางานให้มันทำได้ละก็…มันจะกลับมาเล่นงานเจ้าเอง มันจะเล่นงานเจ้าถึงตายเชียวนะ"

ชายตัดฟืนตัดสินใจรับยักษ์วิเศษไว้ แล้วเขาก็พามันกลับบ้าน ทันทีที่เข้าบ้าน ยักษ์ตนนั้นก็เริ่มกล่าวว่า "นาย ๆ มีอะไรให้ข้าฯ ทำบ้าง" ชายตัดฟืนได้มอบหมายงานให้ยักษ์ไปทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรัง ตัวเองก็กระหยิ่มใจที่ได้พัก ขณะที่เขากำลังจะเอนตัวลงงีบ ก็ได้ยินเสียงชัดเจนดังข้างหูว่า "นาย ๆ ข้าฯ ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว มีอะไรให้ข้าฯ ทำอีก" ชายตัดฟืนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บ้านสะอาดหมดจดอย่างไม่มีที่ติ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสั่งให้ยักษ์ไปตัดฟืนที่เขาทำค้างไว้เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้เขาพอมีเวลา

จาก: นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 289/2546

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

นิทานคติสอนใจชาวจีน ตอน3


นกเค้าแมวหวงซากหนู

เมื่อเว่ยจื่อได้เป็นเจ้าเมืองแห่งแคว้นเหลียง จวงจื่อก็ได้แวะคารวะเว่ยจื่อ ผู้คนพูดข่าวลือหนาหูกับเว่ยจื่อว่า

จวงจื่อมาที่นี่เพื่อมาเป็นเจ้าเมืองแทนเว่ยจื่อ เขาเองจึงรู้สึกกังวลหวาดกลัว จึงรีบตามหาจวงจื่อถึงสามวันสามคืน อยู่ภายในเมืองหลวง จวงจื่อเมื่อรู้เช่นนั้นจึงรีบรุดไปพบเขา

จวงจื่อจึงกล่าวว่า

ทางตอนใต้มีนกชนิดหนึ่งมันมักจะบินจากทะเลทางตอนใต้ ไปยังทะเลทางตอนเหนือ มันไม่กินสิ่งใดนอกจากผลของม้ไผ่ และน้ำเกสรดอกไม้ พอดีได้มีนกเค้าแมวตัวหนึ่งได้ซากหนูตายมา เมื่อพอดีตอนเจ้านกตัวนั้นได้บินผ่านเจ้านกเค้าแมว

เจ้านกเค้าแมวจึงรีบผงกหัวขู่ให้เจ้านกตัวนั้นหลีกไป อย่ามายุ่งเกี่ยวกับอาหารของมัน

แล้วบัดนี้ท่านเองก็มาใช้ตำแหน่งเจ้าเมืองของท่านมาขู่ไล่ข้ากระนั้นหรือ

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

นิทานคติสอนใจชาวจีน ตอน2


องครักษ์ผู้กล้า

กษัตริย์จิงแห่งเมืองฉี ทรงมีองครักษ์ผุกฃ้าสามคน มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือนามว่า กงซุนเจียง เทียนไคเจียง และกูเย่จื่อ

ครั้งหนึ่งเสนาบดีหยานจื่อได้มาเข้าเฝ้า ทว่าทั้งสามคนมิได้สังเกตเห็นท่านเสนาบดี จึงมิได้กระทำการเคารพคุกเข่า

หยานจื่อไม่พอใจจึงทรงไปฟ้องฮ่องเต้ว่าทั้งสามคนไม่ยอมเคารพขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นการกระทำบังอาจ ลบหลู่มิเห็นฮ่องเต้ในสายตา อีกทั้งยุยงกล่าวว่าทั้งสามไม่มีความสามารถจึงสมควรกำจัดเสีย

ฮ่องเต้ก็ทรงเชื่อคำพูด จึงครุ่นคิดหาวิธีกำจัด โดยหยานจื่อเสนอให้ฮ่องเต้ส่งลูกพลับสองลูก พร้อมกับมีรับสั่งให้แบ่งลูกพลับสองลูกในระหว่างกันเอง โดยเป็นเครื่องวัดความสำเร็จของแต่ละคน

ฝ่ายกงซุนเจียงได้รู้เรื่องราวเช่นนั้น ก็ถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า

หยานจื่อช่างฉลาดยิ่งนัก เขายุยงให้ฮ่องเต้พิสูจน์ฝีมือของพวกเขา มีลูกพลับเพียงแค่สองลูก แต่พวกเขามีสามคน ข้าเป็นผู้มีชัยชนะสู้กับเสือมาก่อน ด้วยกำลังของข้า ข้าสมควรเป็นเจ้าของลูกพลับลูกหนึ่ง และไม่จำเป็นจะต้องแบ่งใคร เขาก็ฉวยเอาลูกพลับใบหนึ่งไป

ส่วนเทียนไคเจียงเองก็กล่าวว่า ข้าเคยรบกับศัตรูจนถอยทัพไป ดังนั้นข้าสมควรได้รับลูกพลับลูกหนึ่ง ว่าดังกล่าวแล้วก็ฉวยลูกพลับไปอีก

กูเย่จื่อกล่าวว่า ข้าเคยข้ามแม่น้ำเหลืองกับฮ่องเต้ มีเต่ายักษ์ตัวหนึ่งใช้ฟันกัดลากรถม้าไปอย่างรวดเร็วไปยังกลางแม่น้ำ ในเวลานั้นข้ามิอาจว่ายน้ำได้ ข้าต้องดำน้ำทวนกระแสน้ำไปไกลถึงเก้าลี้ ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้าเต่าทิ้ง ด้วยความดีความชอบของข้า ข้าเองก็สมควรได้รับลูกพลับ โดยไม่แบ่งใคร ไฉนท่านทั้งสองจึงไม่คืนลูกพลับมาเล่า

กงซุนเจียงและเทียนไคเจียงกล่าวว่า พวกเราไม่กล้าหาญได้เท่าเจ้า และความดีความชอบของพวกเราไม่อาจเทียบได้กับเจ้า ถ้าพวกเราเอาลูกพลับไว้และปฏิเสธไม่ให้กับเจ้า ก็นับว่าเป็นความโลภ ทว่าพวกเราไม่ยอมพลีชีพก็ถือว่าพวกเรามิใช่ผู้กล้า

ทั้งสองจึงวางลูกพลับแล้วเชือดคอตัวเองตาย

กูเย่จื่อจึงรำพึงว่า มาตรแม้นว่าข้าอยู่เพียงผู้เดียว ในขณะที่พวกเขาได้พลีชีพไปแล้ว ข้าคงมิอาจมีศักดิ์ศรีสู้หน้าผู้อื่นอีกต่อไปได้ ดังนั้นเขาจึงเชือดคอตัวเองตายตาม

ฝ่ายฮ่องเต้เมื่อทรงทราบข่าวการตายของคนทั้งสาม ก็ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้นำศพทั้งสามไปฝังไว้ที่สุสานวีรชน

นิทานคติสอนใจของชาวจีน


กบน้อยในบ่อตื้น
วันหนึ่งกบน้อยได้มาเจอกับเต่าทะเลตัวหนึ่ง มันจึงพูดคุยโอ้อวดให้เต่าฟังว่า
ข้าอาศัยอยู่ในบ่อตื้นนี้มีความสุขมาก วันๆข้ากระโดดแหวกว่ายน้ำอย่างอิสระ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ข้าก็นอนพักอยู่ในโพรงข้างกำแพงบ่อ ข้ามีความสุขมาก แม้กระทั่งเจ้าพวกหนอน ปู และลูกอ๊อดก็ไม่มีใครเทียบข้าได้หรอก ข้ายิ่งใหญ่ที่สุดเมื่ออยู่ในบ่อนี้ ข้าดูสูงกว่าคนอื่นเมื่ออยู่ในบ่อนี้ ข้ารู้สึกสุขใจยิ่งนัก ว่าแต่เจ้าทำไมไม่มาดูที่อยู่ของข้าล่ะ
เจ้าเต่าทะเลเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็พยายามจะลงไปในบ่อตื้นเมื่อยื่นขาซ้ายลงไปได้แล้ว ทว่ากลับติดขาขวาที่ยื่นลงไปไม่ได้ เนื่องจากบ่อตื้นและเล็กเกินไป มันจึงต้องชะงักหยุดก่อน แล้วมันจึงเล่าที่อยู่ในทะเลของมันให้เจ้ากบฟังว่า
ความกว้างใหญ่ของทะเลนั้นยิ่งใหญ่มาก แม้นระยะทางพันลี้ก็มิอาจทำให้เจ้ารู้ถึงความกว้างของทะเล แม้นความสูงพันศอก เจ้าก็ไม่อาจรู้ถึงความลึกของทะเลได้ ในสมัยกษัตริย์หยู ราชวงศ์เซีย ในเวลาสิบปีเกิดอุทกภัยถึงเก้าปี น้ำทะเลเองก็ไม่เคยเพิ่ม ส่วนในสมัยกษัตริย์ถัง ราชวงศ์ซาง เกิดภาวะแห้งแล้งถึงเจ็ดปีจากแปดปี ทว่าน้ำทะเลก็ไม่เคยลด น้ำทะเลไม่เคยเปลี่ยนแปลงตราบระยะเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งไม่เคยเพิ่มหรือลดตามฤดูฝนที่ตกลงมา ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการได้แหวกว่ายในทะเลที่กว้างใหญ่
หลังจากที่เจ้ากบได้ฟังเช่นนั้น มันจึงได้รู้ถึงความไม่สำคัญของตน และตะหนักในความจริงที่ยังมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่มันเป็นอยู่ มันจึงเริ่มรู้สึกไม่มีความสุขและล้มป่วยลงในที่สุด